2

ผมสีควันบุหรี่ร้านกาแฟในสนามบิน, จิมดัก

 

 

            เรื่องบังเอิญเกิดขึ้นกับเราไม่บ่อยนัก การได้เจอคนแปลกติดต่อกันสองครั้งสองคราวอาจนับได้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญเรื่องหนึ่ง หญิงสาวผมสีควันบุหรี่อยู่ห่างออกไปราวสี่ช่วงโต๊ะ หญิงสาวหน้าสวยนั่งก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์ปากฮัมเพลงจังหวะเนิบๆ ไหล่ของเธอโครงเคลื่อนตามช้าๆ พร้อมทั้งเคาะนิ้วมือกับโต๊ะเข้ากันเป็นจังหวะเดียว จังหวะที่เธอสร้างขึ้นทำให้ฉันเดาเล่นว่าเธอคงฟังเพลงอาร์แอนด์บีอยู่ อาจจะเป็นเพลงสากลสักเพลง ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการคาดเดาของนักเขียนมือสมัครเล่นคนหนึ่งใช่ว่าจะต้องใส่ใจ

            ฉันหยุดสนใจเรื่องเพลงที่เธอกำลังฟังมาเป็นพินิจลักษณะการแต่งตัวของเธอแทน เสื้อยืดไหมพรมแขนยาวคอสูงขนาดพอดีตัวสีเขียวเทาเข้ากับสีผม กางเกงยีนและรองเท้าบูทสีน้ำตาลอ่อนส้นหนา ดูจากการแต่งตัวคงเดินทางไปเยือนเมืองหนาว การเจอเธอที่นี่อาจไม่ได้แปลกอะไรเลยก็ได้ เราเจอกันที่ร้านขายอุปกรณ์การเดินทางมันแน่นอนอยู่แล้วว่าเธอต้องการเดินทางไปที่ไหนสักแห่งเพียงแค่มันดันเป็นวันนี้ที่ต้องเดินทางพร้อมกัน

            ฉันละสายตาจากหญิงสาวผมสีควันบุหรี่เพราะการจ้องมองใครนานเกินไปอาจไม่ดีนักได้ หรืออย่างน้อยต้องพยายามหักห้ามใจตัวเองไม่ให้สังเกตใครนานจนเกินไป ฉันหยิบสมุดโน้ตที่วางอยู่บนโต๊ะพลิกไปหน้าบันทึกลักษณะบุคคลที่น่าสนใจพร้อมร่างภาพอย่างหยาบๆ เก็บไว้ เป็นการสร้างตัวตนใหม่สำหรับใช้กับงานเขียนได้ในอนาคต 

            นาฬิกาข้อมือบอกเวลาที่ยังเหลือไว้เพียงพอสำหรับการเตรียมตัวก่อนขึ้นเครื่องสักสิบห้านาที ฉันเก็บสมุดโน้ตเข้ากระเป๋าเป้ยกแก้วนมร้อนดื่มจนหมดก่อนล้างปากด้วยน้ำแร่แล้วลุกออกจากร้าน

 

.

 

            “เดี๋ยวเข้าเครื่องพร้อมพี่นะ รออยู่ตรงนี้แหละ” พี่จาเอ่ยแล้วหันไปทำธุระตามหน้าที่ของเธอ

            “ค่ะพี่” ฉันตอบพลางยืนเล่นโทรศัพท์อยู่ข้างพี่จา ตอนนี้เราอยู่หน้าเกตกับลูกทัวร์คนอื่นๆ ฉันไม่ได้สนใจใครเป็นพิเศษนักนอกจากพยายามมองหาและคาดเดาไปเรื่อยว่าใครคือรูมเมทของฉัน “รูมเมทบัวยังไม่มาอีกเหรอ” หญิงสาวหันซ้ายขวา 

            “ไม่เห็นเลย ใกล้ขึ้นเครื่องแล้วนางคงจะมาเองแหละ” พี่จาตอบแล้วเดินไปหน้าแถวเพื่อบอกลูกทัวร์ให้เตรียมขึ้นเครื่อง ระหว่างที่ฉันกำลังยืนรออยู่ก็ได้สัมผัสเย็นๆ ที่ต้นแขน ปลายนิ้วสัมผัสเบาของใครคนหนึ่งสะกิด

            “เธอ...” เสียงเล็กใสดังขึ้นกลางความเงียบของผู้คนรอบตัวที่กำลังง่วนอยู่กับการเตรียมเอกสารของตนเอง ฉันหันไปก็พบหญิงสาวหน้าสวยยืนอยู่ หญิงสาวผมสีควันบุหรี่ 

            “คะ?” 

            “เธอลืมแบตสำรองไว้ในร้านกาแฟ” หญิงสาวผมสีควันบุหรี่ยื่นแบตสำรองในซองหนังมาให้

            “เอ้ย... ขอบคุณมากค่ะ...” ฉันรีบคว้าแล้วโค้งศีรษะให้เธอน้อยๆ 

            “ไม่เป็นอะไรค่ะ” เธอตอบรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เราเห็นบนโต๊ะมันมีของวางไว้แล้วพนักงานบอกเป็นของเธอเราเลยเดินตามมา”

            “ขอบคุณค่ะ เราทำให้คุณเสียเวลาแย่เลย ขอโทษด้วยนะคะ” ฉันยิ้มเจื่อน

            “ไม่เป็นไรค่ะ พอดีเราขึ้นเครื่องที่เกตนี้พอดี” เธอว่า

            “อะ อ๋อ... ” ฉันทำหน้านิ่งพลางขอบคุณเธออีกรอบ

            “อ้าว...เทียน” เสียงของพี่จาดังมาจากด้านหลัง

            “ว่าไงคะพี่จา” หญิงสาวคนตรงข้ามตอบพี่จาที่กำลังเดินมา

            “รู้จักกันเหรอ” 

            “อ๋อ เขาลืมแบตสำรองไว้ที่ร้านกาแฟเทียนเลยหยิบมาให้” เธอตอบ

            “นี่บัวคนที่จะพักกับแก” พี่จาพูดกับหญิงสาวคนตรงข้ามตามด้วยหันมาพูดกับฉัน “นี่เทียนรูมเมทที่ถามนักถามหนา” ฉันอ้าปากค้างเล็กน้อย ไม่รู้ว่าหญิงสาวผมสีควันบุหรี่ที่เจอกันเป็นครั้งที่สามจะเป็นรูมเมทของฉันเอง

            “อ๋อ...ค่ะ” ฉันหันไปแนะนำตัวกับเธอ “ใบบัวค่ะ” 

            “เทียนค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

            “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ” ฉันได้แต่นิ่งไม่ได้แสดงท่าทีประหลาดใจหรือประหม่าใดๆ ออกไป 

 

 

            เราสองเรียงแถวเข้าเครื่องเป็นสองคนสุดท้ายหากไม่นับหัวหน้าไกด์อย่างพี่จาและผู้ช่วยอีกสองคน เราทั้งคู่ได้นั่งอยู่แถวเดียวกันพอดี

            “เราขอนั่งริมหน้าต่างได้หรือเปล่า” หญิงสาวถาม

            “ได้สิ...” ฉันตอบพร้อมให้เธอเดินนำไป ปกติแล้วฉันไม่ใช่พวกชอบมองท้องฟ้าบนเครื่องบินอยู่แล้ว การนั่งริมหน้าต่างไม่ใช่จุดประสงค์ของการเดินทางของฉัน 

            ฉันนั่งลงจัดท่าทางให้สบายเตรียมพร้อมรอเวลาเครื่องขึ้น ส่วนเทียนหยิบหูฟังขึ้นมาเสียบและหยิบโลลี่ป๊อปขึ้นมาแกะและนำมันเข้าปาก พอเครื่องขึ้นไปอยู่จุดที่เหมาะฉันถึงได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเพลงฟังบ้าง 

            “อมยิ้มไหม” เทียนพูดขึ้นเบาๆ  เธอถอดหูฟังออกหนึ่งข้างในมืออีกข้างมีโลลี่ป๊อปสีชมพูอีกอัน 

            “ไม่เป็นไรค่ะ...” ฉันตอบ 

            “มาเที่ยวคนเดียวเหรอคะ” เธอถามทั้งที่ยังคาบโลลี่ป๊อปอยู่ในปาก

            “ใช่ค่ะ” เทียนพยักหน้าและหันหน้ากลับไป เราไม่ได้พูดคุยอะไรต่ออีกหลังจากนั้น 

            ขณะบินเวลาผ่านไปไฟเหนือศีรษะของใครหลายคนเริ่มดับลง นับจากด้านหน้ามาจนถึงกลางเครื่องที่เรานั่งฝั่งฉันมีเพียงแค่ไฟของฉันและหญิงสาวข้างๆ เท่านั้นที่เปิดอยู่ ฉันถือหนังสือเล่มบางอ่านฆ่าเวลาเพื่อรอให้ความง่วงมาเยือน หากดูเหมือนว่ามันจะยังไม่ย่างกรายเข้ามาเสียที ฉันเหลือบมองว่าหญิงสาวกำลังทำอะไรอยู่ เธอกำลังเลื่อนนิ้วมืออยู่กับหน้าโปรแกรมสรีมมิ่งเพลงอย่างเบื่อหน่าย ฉันเดาว่าเธอคงหมดเพลงที่จะฟังอาการแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยในช่วงเวลาที่เรามีเพลงจำกัดในเครื่อง

            ฉันปิดหน้าหนังสือเพื่อให้ตัวเองนั้นได้พักสายตาเสียหน่อย หลังจากตรากตรําปิดต้นฉบับยังไม่ได้พักสายตาอย่างเต็มที่เลย ทริปครั้งนี้เลยตั้งใจพาดวงตาคู่นี้มาชมภาพทิวทัศน์และอ่านหนังสือที่พกมาเท่านั้น 

 

 

            ฉันเผลอหลับไปตอนไหมไม่รู้ แต่รู้ตัวอีกทีคือตอนที่ศีรษะของหญิงสาวริมหน้าต่างประทับลงที่ไหล่ซ้าย ทันทีที่ตัวเองรู้สึกตัวร่างกายกลับเกร็งขึ้นมา ฉันไม่กล้าขยับตัวไปไหนทำได้แต่ยกมือขึ้นขยี้ตา บรรยากาศรอบข้างเริ่มสว่างขึ้นทีละนิด แสงแดดกำลังสาดผ่านชั้นบรรยากาศเข้ามาที่บริเวณหน้าต่าง เสียงฝีเท้าของแอร์โฮสเตสดังตึกๆ ไล่มาจากท้ายเครื่อง ฉันได้ยินเสียงเพลงดังเบาๆ ออกมาจากหูฟังของเทียน มันเป็นเพลงแนวอาร์แอนด์บีโซลอย่างที่ฉันคาดเดาหากไม่ใช่มันก็คงใกล้เคียง พอแสงแดดเริ่มส่องหญิงสาวถึงได้เริ่มรู้สึกตัว ฉันที่รู้ตัวดีก็แกล้งหลับต่อ เทียนเงยหน้ากลับไปทันทีเมื่อตื่น จากนั้นฉันถึงได้ทำเป็นลืมตาตื่นตาม หญิงสาวทำทีเป็นบีบนวดที่ลำคอผินหน้าออกไปนอกหน้าต่างจนถึงช่วงเวลาที่เครื่องลงจอด

 

            “บัว” เสียงเรียกของหญิงสาวผมสีควันบุหรี่ดังขึ้นอีกครั้งในช่วงที่ทุกคนกำลังเดินออกไปด้านนอก

            “คะ?”

            “มาอยู่ที่นี่หลายวันใช่ไหม”

            “อ่า...เรามาอยู่เกือบอาทิตย์แหละ”

            “แล้วรู้หรือยังว่าเราจะไปที่ไหนบ้าง” เธอถาม

            “ก็ไปตามทัวร์ไง” ฉันตอบอย่างงงๆ ในคำถามของเธอ

            “หมายถึงชื่อสถานที่อ่ะ” เธอหัวเราะเบาๆ “เผื่อตม.ถามเข้าแล้วถ้าตอบไม่ได้เขาจะคิดว่าเป็นผีน้อยนะ” 

            “จริงเหรอ...” 

            “จริง พี่จาไม่ได้บอกไว้ก่อนเหรอ”

            “อ่า... เหมือนจะไม่ได้บอกนะ”

            “งั้นเดี๋ยวเราบอกเอาแบบที่จำง่ายๆ เลย” เธอบออกชื่อสถานที่มาจำนวนห้าสถานที่ให้ฉันจำ ซึ่งฉันเองก็จำผ่านๆ ได้เพียงแค่สามส่วนที่เหลือจะตอบเป็นภาษาอังกฤษเอา 

            “เดี๋ยวบัวเข้าพร้อมเรานี่แหละ เดี๋ยวเราอยู่ข้างหลัง” เทียนเสนอ จากนั้นเราก็พากันเดินไปเข้าคิวรอเข้าเมือง

 

 

            “แก...ตม.แม่งถามจริงด้วยว่ะ” ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอกพูดกับเทียนที่เดินตามออกมา 

            “เห็นไหม ถ้าตอบไม่ได้นี่ผีน้อยเลยนะ” เทียนว่าแล้วหัวเราะตามอีกครั้ง

            “ขอบใจมากที่เตือนถ้าไม่ได้แกนะตายแน่”

            “ไม่เป็นไร” เธอเชิดคางขึ้นเล็กน้อย

            “ทำไมช่วงนี้เขาเข้มงวดจัง เคยไปโซลกับปูซานไม่เห็นวุ่นวายขนาดนี้เลย”

            “งี้แหละ เขาก็ตรวจเข้มขึ้นเรื่อยๆ” เทียนตอบ “ไปเอากระเป๋ากันเถอะ”

            “โอเค...” ฉันตอบและปล่อยให้เธอนำไป 

            

            “ข้างนอกหนาวนะหยิบเสื้อกันหนาวมาเตรียมไว้ได้เลย” เธอพูดขึ้นขณะมองหากกระเป๋าเดินทาง

            “อื้ม...” ฉันตอบสั้นๆ 

            “เดี๋ยวต้องเดินต่อไปขึ้นรถที่ลานจอดด้านนอกที่นี่ไม่มีรถมารับ อีกอย่างอากาศตอนนี้น่าจะสักสิบองศาได้แหละ”

            “ขนาดนั้นเลยเหรอ” ฉันเลิกคิ้ว

            “ตามปกติมันก็เย็นประมาณนี้แหละ” เธอว่า “อ๊ะ กระเป๋าเราอยู่ตรงนั้น” เทียนเดินนำลิ่วไปหยิบกระเป๋าก่อนจะลากออกไปรอที่โล่งด้านหน้า

            “เป็นไงอัธยาศัยดีไหม” พี่จาเดินเข้ามาทักโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง 

            “ก็ดีนะพี่ ดูเป็นคนคุยด้วยง่ายดี”

            “อืม ปกติมันพูดมากจะตายไอ้เทียนเนี่ย” พี่จาว่า ฉันสะดุดกับคำว่า ปกติ ถ้าเธอเลือกใช้คำนี้แปลว่าตอนนี้เธอคนนั้นดูไม่ปกติเหรอ ออกจะร่าเริงขนาดนั้นนี่ถ้าพูดเก่งจะขนาดไหนนะ  

            

            ฉันและพี่จาและลูกทัวร์กลุ่มสองเดินออกมายังที่นัดพบกัน พื้นที่ตรงนั้นมีผู้ช่วยไกด์รออยู่กับลูกทัวร์กลุ่มหนึ่งส่วนหญิงสาวผมสีควันเดินออกมาจากร้านกาแฟแฟรนไชส์ที่อยู่ถัดไปจากจุดนัดพบไม่ไกลนัก พี่จาและผู้ช่วยไกด์ออกไปแนะนำตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้งก่อนจะให้ทุกคนเข้าห้องน้ำในสนามบินให้เรียบร้อย หลังจากนี้เราจะเดินทางไปหามื้อเช้ากินกันก่อนถึงเข้าที่พักได้ในช่วงบ่าย

            เราเคลื่อนตัวมายังรถบัสที่อยู่ห่างตัวสนามบินราว 300 เมตร วินาทีที่ก้าวพ้นจากเขตฮีตเตอร์ของสนามบินทั้งร่างกาย ใบหน้าและริมฝีปากได้ปะทะเข้ากับสายลมทันที ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นเช็คอุณหภูมิดูปรากฏว่าตอนนี้อุณหภูมิอยู่ที่ องศา ฉันเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าหน้าท้องของเสื้อกันหนาวเพื่อถูมือไปมาให้เกิดความอบอุ่นด้านใน

            ระหว่างทางสิ่งรอบตัวดูสวยงามไปหมด มันเป็นบรรยากาศที่แปลกไปจากโซลอยู่มาก ฉันหยิบกล้องฟิล์มเพนแทกซ์แบบออโต้โฟกัสตัวโปรดขึ้นมาเก็บภาพข้างทางสามภาพ รถโดยสารที่เราได้นั่งเป็นรถบัสขนาดกลางจำนวนสามสิบที่นั่ง พี่จาและไกด์อีกสองคนนั่งด้านหน้าสุด ครอบครัวแรกเลือกพื้นที่ด้านซ้ายฝั่งหน้าสุด ส่วนอีกครอบครัวครองพื้นด้านหลังทั้งสองฝั่ง ที่นั่งเหลือแค่ตรงกลางซ้ายขวาและด้านหน้าฝั่งขวา ฉันที่ชอบความสันโดษเลยเลือกนั่งตรงกลางฝั่งขวาโดยมีเทียนตามหลังมา เธอเลือกวางกระเป๋าเป้ของเธอที่เบาะนั่งฝั่งซ้ายตรงข้ามฉันพอดี เธอนั่งลงติดริมหน้าต่างหยิบหูฟังขึ้นเสียบก่อนยกมือขึ้นเปิดเพลงที่เล่นค้างไว้ผ่านสายหูฟังใบหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง

 

.

 

            สถานที่แรกของการมาเยือนเกาะเชจูมิใช่สถานที่ท่องเที่ยวมันกลับเป็นร้านอาหารร้านหนึ่ง เป็นร้านอาหารที่ตั้งอยู่ทิศใต้ติดถนนมองออกไปฝั่งตรงข้ามเป็นทะเล อากาศตอนนี้เรียกได้ว่าปลอดโปร่งสุดถ้าจมูกไม่แข็งฉันคงสูดมันเข้าปอดได้อย่างไม่เกรงใจต้นไม้ที่อยู่ข้างๆ  ระหว่างที่กำลังเพลิดเพลินกับภาพวิวตรงหน้าพี่จาก็เรียกให้รีบเข้าไปด้านในก่อน เธอพาฉันมาฝากไว้กับเทียน ฝากบัวก่อนนะ เธอว่าก่อนจะหันไปจัดการความเรียบร้อยให้ลูกทัวร์คนอื่น ฉันนั่งลงพร้อมยิ้มบางๆ อย่างเป็นมิตรให้หญิงสาวที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว 

            “อรุณสวัสดิ์อย่างเป็นทางการนะ” เธอทัก

            “อื้ม การตื่นอย่างเป็นทางการก็คงมื้อแรกของวันนี่แหละ” ฉันยิ้มส่วนเธอหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ 

            “อากาศพอได้ไหม” เธอถาม

            “หนาวอย่างที่ว่าไว้เลย” ฉันตอบพลางถูมือ “เทียนจำเราได้ปะ”

            “จำ... อะไรเหรอ” เธอเลิกคิ้ว

            “เราเคยเจอกันที่ห้างไง... อุปกรณ์ล็อกน่ะ” 

            หญิงสาวทำหน้าคิดก่อนจะร้องอ๋อออกมา เธอทำหน้าน่ารักได้เพียงแค่อ้าปากน้อยๆ ประกบมือเข้ากัน 

            “จำได้แล้วๆ ขอโทษทีเราแค่คุ้นๆ หน้าแต่ตอนนั้นเราจำบัวไม่ได้” เธออธิบาย

            “ฮ่าๆ เราจำเทียนได้เพราะสีผม” เทียนนิ่งและหัวเราะออกมาอย่างไม่ขัดเขิน “แล้วสรุปวันนั้นได้ที่ล็อกไหม”

            “อ้อ เราไม่ได้จะไปซื้อหรอก แค่เห็นมันอยู่เป็นอันสุดท้ายแล้วสงสารเลยหยิบขึ้นมาดู” เธอตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “เราก็ใช้แบรนด์นี้แหละแค่ไปหยิบมาดูเฉยๆ ไม่ได้จะซื้อหรอก” เธอเปลี่ยนมาทำสีหน้าปกติ ฉันพยักหน้ารับอย่างยิ้มๆ ปล่อยให้เรื่องนั้นจบลงตรงนี้

            ไม่นานนักอาหารก็มาเสิร์ฟ เนื้อไก่ชิ้นสวยถูกหั่นเป็นชิ้นอย่างประณีตเรียงในจานใบใหญ่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางสิบนิ้ว ภายในมีผักและเครื่องเทศมากมายถูกคลุกด้วยซอสสีดำ 

            “อันนี้เขาเรียกว่าจิมดัก 4 ” เทียนอธิบายและส่งถ้วยข้าวสวยในกระปุกสเตนเลสมาให้ 

            จิมดัก ฉันทวนชื่ออาหารกับตัวเองเสียงเบา

            “เป็นอาหารพื้นเมือง กินยังไงก็อิ่ม เหมาะกับตอนเช้าไหมไม่แน่ใจเพราะมากี่ทีก็ต้องเปิดด้วยไอ้เจ้านี่ทุกที” หญิงสาวคล้ายบ่น ฉันเองก็เกือบจะหลุดขำออกมากับท่าทีและคำพูดน่ารักๆ ของเธอ 

            “เทียนมาที่นี่บ่อยเหรอ”

            “ตอนเป็นไกด์น่ะมาบ่อยอยู่แล้ว” เธอตอบพลางคีบชิ้นไก่และเส้นวางไว้บนจานเป็นชั้นสวย

            “เคยเป็นไกด์ด้วยเหรอ” ฉันแกล้งทำเป็นไม่รู้

            “ช่าย...” เธอลากเสียงยาว “พี่จาไม่ได้บอกเหรอ”

            “ก็เหมือนจะเคยพูดนะ”

            “นั่นแหละ แต่ตอนนี้ไม่ได้เป็นแล้ว”

            “แปลว่านี่มาเที่ยวเหรอ?”

            “อ่า... ทำนองนั้น” เธอชะงักเล็กน้อยก่อนทำหน้าคิดอะไรบางอย่าง คิ้วเลิกสูงสายตามองเฉียงในท่ากำลังใช้ความคิด “ก็มาเที่ยวแหละ อารมณ์แบบมาบอกลาเมืองที่รักเป็นครั้งสุดท้ายอะไรประมาณนี้” เธอพยักหน้าแล้วกินต่อ ชักเริ่มสนใจคนแบบนี้เสียแล้วสิอะไรกันที่ทำให้เธอต้องมาบอกลาเมืองนี้ทั้งที่เคยมาอยู่บ่อยๆ

 

 

4. Jjimdak  หนึ่งในอาหารประเภทต้มของชาวเกาหลี จิมดักเป็นไก่ผัดซอสดำมีเครื่องด้านในเป็นผักหลายชนิดเช่นแครอท ผักกาดขาวหรือกะหล่ำปลี พริกต้มพร้อมเส้นบุกของเกาหลีใต้ผัดให้เข้ากันจนน้ำเกือบแห้ง